แนะนำ 5 ระบบ ERP สำหรับคนทำงานโรงงาน
หากคุณเป็นทายาทรุ่นที่สองของธุรกิจครอบครัวในอุตสาหกรรมการผลิต คุณอาจเคยเจอปัญหาที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เมื่อระบบที่พ่อแม่หรือผู้บริหารรุ่นแรกใช้ส่วนใหญ่มักเป็นซอฟต์แวร์บัญชีขนาดเล็กที่ไม่สามารถรองรับทุกกระบวนการของธุรกิจได้เต็มที่ แล้วท้ายที่สุด คุณก็จะเริ่มมองหาระบบอื่นๆ ที่ครอบคลุมมากกว่ามาใช้แทน ซึ่ง “ERP” (Enterprise Resource Planning) คือคำตอบนั้นที่คุณกำลังหาอยู่
ERP เป็นระบบที่ครอบคลุมกระบวนการทั้งหมดขององค์กร และสามารถให้ตัวเลขด้านการเงินที่ถูกต้องได้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการเลือกผู้ให้บริการ การขึ้นระบบ และใช้งาน ERP ให้เต็มประสิทธิภาพนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด
TYPE
ASAP Project X ทำที่บ้าน
ความแตกต่างระหว่างการผลิตแบบ Light Manufacturing และ Heavy Manufacturing
📍 Light Manufacturing คือ การผลิตที่เกี่ยวข้องกับการประกอบชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนไม่มาก เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เฟอร์นิเจอร์ หรือสินค้าประเภท OEM
📍 Heavy Manufacturing คือ การผลิตที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ การหลอมโลหะ หรือกระบวนการผลิตที่ต้องการเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก ปูนซีเมนต์ หรือยานยนต์
แน่นอนว่าไม่ใช่ระบบ ERP ทุกตัวจะรองรับการผลิตได้ทั้ง 2 ประเภท
แนะนำ ERP ที่นิยมใช้
01 Odoo
เหมาะกับ: ธุรกิจ Light Manufacturing (การประกอบ) และค้าปลีก
ข้อดี:
หน้าตาการใช้งานง่าย ผู้ใช้งานปรับตัวได้ไม่ยาก
มีโครงสร้างแบบโมดูล สามารถซื้อเพื่อใช้เพิ่มเติมได้ในภายหลัง
ข้อเสีย:
หากต้องการปรับแต่ง (Customize) มาก ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก
ไม่เหมาะกับธุรกิจ Heavy Manufacturing
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณกว่า 1 ล้านบาท
ระยะเวลากว่า 1 ปี (ทั่วไป)
การเลือกใช้ License: Community (Open-Source) หรือ Enterprise (Subscription แบบโมดูลต่อผู้ใช้งาน)
02 Microsoft Dynamics 365 Business Central (MS BC)
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการโซลูชันที่ยืดหยุ่นและเชื่อมต่อกับแอปต่างๆ ของ Microsoft ได้
ข้อดี:
หน้าตาใช้งานง่าย ตรงไปตรงมา
เหมาะสำหรับบริษัทที่ใช้งาน Microsoft อยู่แล้ว เพราะจะได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับระบบ Office 365 และ Power BI (โดยเฉพาะกระบวนการอนุมัติ)
ข้อเสีย:
มีค่าใช้จ่ายรายเดือนสูงกว่าระบบ ERP บางตัว
อาจไม่เหมาะกับกรณีที่ต้องมีการปรับแต่ง (Customize) มากเกินไป
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณเริ่มต้น 2-3 ล้านบาท
งบประมาณเพิ่มเติมด้าน Cloud หากต้องการใช้เป็น Private Cloud
ระยะเวลาในการขึ้นระบบและฝึกอบรมทีมงาน 1 ปีขึ้นไป
03 TR Cloud
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่มีงบประมาณจำกัด
ข้อดี:
ประหยัดงบประมาณ
ฟีเจอร์ด้านบัญชีและสต๊อกที่ดี
ขึ้นระบบได้ในระยะเวลาสั้นกว่า
ข้อเสีย:
เหมาะสำหรับการผลิตแบบง่าย ฟีเจอร์ MRP หรือต้นทุนทำได้ไม่ลึกเท่าซอฟต์แวร์ค่ายต่างประเทศ
สิ่งที่ต้องเตรียม:
ความเข้าใจในข้อจำกัดของระบบ
ทีมงานที่ช่วยวางขอบเขตของงานที่จะใช้ในระบบ (เพราะอาจมีบางขั้นตอนการผลิตที่อาจจะต้องทำข้างนอก)
04 SAP Business One (SAP B1)
เหมาะกับ: ธุรกิจผลิตขนาดกลาง ที่ไม่ต้องการระบบผลิตแบบซับซ้อน
ข้อดี:
รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้
ทีมงานพาร์ตเนอร์ของ SAP มาพร้อมแนวทางการขึ้นระบบที่ค่อนข้างมืออาชีพ
ข้อเสีย:
ต้นทุนการติดตั้งและดูแลรักษาสูง
ต้องการทีมที่เชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง ในการบริหารระบบต่อไปหลัง Go Live
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณเริ่มต้น 3 ล้านบาทขึ้นไป
ระยะเวลาในการขึ้นระบบและฝึกอบรมทีมงาน 1 ปีขึ้นไป
งบประมาณเพิ่มเติมด้าน Cloud หากต้องการใช้เป็น Private Cloud
05 ERP สำหรับองค์กรขนาดใหญ่: SAP S/4HANA, Microsoft Dynamics 365 F&O, Infor Syteline
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดใหญ่และการผลิตที่ซับซ้อน
ข้อดี:
รองรับกระบวนการผลิตแบบ Heavy Manufacturing ได้อย่างเต็มที่
มีฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมทุกกระบวนงานผลิตในโรงงาน ตั้งแต่ R&D, QA, QC และการขนส่ง
ข้อเสีย:
ค่าใช้จ่ายสูงมาก (เริ่มต้น 10 ล้านบาทขึ้นไป)
ระยะเวลาในการติดตั้งนาน และต้องมีทีมงานดูแลระบบเฉพาะทาง
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณที่เพียงพอ โดยมองเป็นระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป
ทีมงานเพื่อทำ Change Management ในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานภายในองค์กร
การเลือก ERP สำหรับธุรกิจการผลิตขึ้นอยู่กับประเภทของการผลิต งบประมาณ และเป้าหมายทางธุรกิจ การลงทุนใน ERP ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว เพราะฉะนั้น การพิจารณาระบบที่ใช่ จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากทีเดียว
แนะนำ ERP ที่นิยมใช้
01 Odoo
เหมาะกับ: ธุรกิจ Light Manufacturing (การประกอบ) และค้าปลีก
ข้อดี:
หน้าตาการใช้งานง่าย ผู้ใช้งานปรับตัวได้ไม่ยาก
มีโครงสร้างแบบโมดูล สามารถซื้อเพื่อใช้เพิ่มเติมได้ในภายหลัง
ข้อเสีย:
หากต้องการปรับแต่ง (Customize) มาก ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก
ไม่เหมาะกับธุรกิจ Heavy Manufacturing
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณกว่า 1 ล้านบาท
ระยะเวลากว่า 1 ปี (ทั่วไป)
การเลือกใช้ License: Community (Open-Source) หรือ Enterprise (Subscription แบบโมดูลต่อผู้ใช้งาน)
02 Microsoft Dynamics 365 Business Central (MS BC)
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการโซลูชันที่ยืดหยุ่นและเชื่อมต่อกับแอปต่างๆ ของ Microsoft ได้
ข้อดี:
หน้าตาใช้งานง่าย ตรงไปตรงมา
เหมาะสำหรับบริษัทที่ใช้งาน Microsoft อยู่แล้ว เพราะจะได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับระบบ Office 365 และ Power BI (โดยเฉพาะกระบวนการอนุมัติ)
ข้อเสีย:
มีค่าใช้จ่ายรายเดือนสูงกว่าระบบ ERP บางตัว
อาจไม่เหมาะกับกรณีที่ต้องมีการปรับแต่ง (Customize) มากเกินไป
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณเริ่มต้น 2-3 ล้านบาท
งบประมาณเพิ่มเติมด้าน Cloud หากต้องการใช้เป็น Private Cloud
ระยะเวลาในการขึ้นระบบและฝึกอบรมทีมงาน 1 ปีขึ้นไป
03 TR Cloud
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่มีงบประมาณจำกัด
ข้อดี:
ประหยัดงบประมาณ
ฟีเจอร์ด้านบัญชีและสต๊อกที่ดี
ขึ้นระบบได้ในระยะเวลาสั้นกว่า
ข้อเสีย:
เหมาะสำหรับการผลิตแบบง่าย ฟีเจอร์ MRP หรือต้นทุนทำได้ไม่ลึกเท่าซอฟต์แวร์ค่ายต่างประเทศ
สิ่งที่ต้องเตรียม:
ความเข้าใจในข้อจำกัดของระบบ
ทีมงานที่ช่วยวางขอบเขตของงานที่จะใช้ในระบบ (เพราะอาจมีบางขั้นตอนการผลิตที่อาจจะต้องทำข้างนอก)
04 SAP Business One (SAP B1)
เหมาะกับ: ธุรกิจผลิตขนาดกลาง ที่ไม่ต้องการระบบผลิตแบบซับซ้อน
ข้อดี:
รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้
ทีมงานพาร์ตเนอร์ของ SAP มาพร้อมแนวทางการขึ้นระบบที่ค่อนข้างมืออาชีพ
ข้อเสีย:
ต้นทุนการติดตั้งและดูแลรักษาสูง
ต้องการทีมที่เชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง ในการบริหารระบบต่อไปหลัง Go Live
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณเริ่มต้น 3 ล้านบาทขึ้นไป
ระยะเวลาในการขึ้นระบบและฝึกอบรมทีมงาน 1 ปีขึ้นไป
งบประมาณเพิ่มเติมด้าน Cloud หากต้องการใช้เป็น Private Cloud
05 ERP สำหรับองค์กรขนาดใหญ่: SAP S/4HANA, Microsoft Dynamics 365 F&O, Infor Syteline
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดใหญ่และการผลิตที่ซับซ้อน
ข้อดี:
รองรับกระบวนการผลิตแบบ Heavy Manufacturing ได้อย่างเต็มที่
มีฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมทุกกระบวนงานผลิตในโรงงาน ตั้งแต่ R&D, QA, QC และการขนส่ง
ข้อเสีย:
ค่าใช้จ่ายสูงมาก (เริ่มต้น 10 ล้านบาทขึ้นไป)
ระยะเวลาในการติดตั้งนาน และต้องมีทีมงานดูแลระบบเฉพาะทาง
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณที่เพียงพอ โดยมองเป็นระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป
ทีมงานเพื่อทำ Change Management ในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานภายในองค์กร
การเลือก ERP สำหรับธุรกิจการผลิตขึ้นอยู่กับประเภทของการผลิต งบประมาณ และเป้าหมายทางธุรกิจ การลงทุนใน ERP ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว เพราะฉะนั้น การพิจารณาระบบที่ใช่ จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากทีเดียว
แนะนำ ERP ที่นิยมใช้
01 Odoo
เหมาะกับ: ธุรกิจ Light Manufacturing (การประกอบ) และค้าปลีก
ข้อดี:
หน้าตาการใช้งานง่าย ผู้ใช้งานปรับตัวได้ไม่ยาก
มีโครงสร้างแบบโมดูล สามารถซื้อเพื่อใช้เพิ่มเติมได้ในภายหลัง
ข้อเสีย:
หากต้องการปรับแต่ง (Customize) มาก ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก
ไม่เหมาะกับธุรกิจ Heavy Manufacturing
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณกว่า 1 ล้านบาท
ระยะเวลากว่า 1 ปี (ทั่วไป)
การเลือกใช้ License: Community (Open-Source) หรือ Enterprise (Subscription แบบโมดูลต่อผู้ใช้งาน)
02 Microsoft Dynamics 365 Business Central (MS BC)
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการโซลูชันที่ยืดหยุ่นและเชื่อมต่อกับแอปต่างๆ ของ Microsoft ได้
ข้อดี:
หน้าตาใช้งานง่าย ตรงไปตรงมา
เหมาะสำหรับบริษัทที่ใช้งาน Microsoft อยู่แล้ว เพราะจะได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับระบบ Office 365 และ Power BI (โดยเฉพาะกระบวนการอนุมัติ)
ข้อเสีย:
มีค่าใช้จ่ายรายเดือนสูงกว่าระบบ ERP บางตัว
อาจไม่เหมาะกับกรณีที่ต้องมีการปรับแต่ง (Customize) มากเกินไป
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณเริ่มต้น 2-3 ล้านบาท
งบประมาณเพิ่มเติมด้าน Cloud หากต้องการใช้เป็น Private Cloud
ระยะเวลาในการขึ้นระบบและฝึกอบรมทีมงาน 1 ปีขึ้นไป
03 TR Cloud
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่มีงบประมาณจำกัด
ข้อดี:
ประหยัดงบประมาณ
ฟีเจอร์ด้านบัญชีและสต๊อกที่ดี
ขึ้นระบบได้ในระยะเวลาสั้นกว่า
ข้อเสีย:
เหมาะสำหรับการผลิตแบบง่าย ฟีเจอร์ MRP หรือต้นทุนทำได้ไม่ลึกเท่าซอฟต์แวร์ค่ายต่างประเทศ
สิ่งที่ต้องเตรียม:
ความเข้าใจในข้อจำกัดของระบบ
ทีมงานที่ช่วยวางขอบเขตของงานที่จะใช้ในระบบ (เพราะอาจมีบางขั้นตอนการผลิตที่อาจจะต้องทำข้างนอก)
04 SAP Business One (SAP B1)
เหมาะกับ: ธุรกิจผลิตขนาดกลาง ที่ไม่ต้องการระบบผลิตแบบซับซ้อน
ข้อดี:
รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้
ทีมงานพาร์ตเนอร์ของ SAP มาพร้อมแนวทางการขึ้นระบบที่ค่อนข้างมืออาชีพ
ข้อเสีย:
ต้นทุนการติดตั้งและดูแลรักษาสูง
ต้องการทีมที่เชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง ในการบริหารระบบต่อไปหลัง Go Live
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณเริ่มต้น 3 ล้านบาทขึ้นไป
ระยะเวลาในการขึ้นระบบและฝึกอบรมทีมงาน 1 ปีขึ้นไป
งบประมาณเพิ่มเติมด้าน Cloud หากต้องการใช้เป็น Private Cloud
05 ERP สำหรับองค์กรขนาดใหญ่: SAP S/4HANA, Microsoft Dynamics 365 F&O, Infor Syteline
เหมาะกับ: ธุรกิจขนาดใหญ่และการผลิตที่ซับซ้อน
ข้อดี:
รองรับกระบวนการผลิตแบบ Heavy Manufacturing ได้อย่างเต็มที่
มีฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมทุกกระบวนงานผลิตในโรงงาน ตั้งแต่ R&D, QA, QC และการขนส่ง
ข้อเสีย:
ค่าใช้จ่ายสูงมาก (เริ่มต้น 10 ล้านบาทขึ้นไป)
ระยะเวลาในการติดตั้งนาน และต้องมีทีมงานดูแลระบบเฉพาะทาง
สิ่งที่ต้องเตรียม:
งบประมาณที่เพียงพอ โดยมองเป็นระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป
ทีมงานเพื่อทำ Change Management ในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานภายในองค์กร
การเลือก ERP สำหรับธุรกิจการผลิตขึ้นอยู่กับประเภทของการผลิต งบประมาณ และเป้าหมายทางธุรกิจ การลงทุนใน ERP ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว เพราะฉะนั้น การพิจารณาระบบที่ใช่ จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากทีเดียว
หากคุณต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ Digital Transformation และงานด้านอื่นๆ สามารถปรึกษา ASAP Project ได้ที่ hello@asapproject.co หรือ www.asapproject.co เพื่อคุยกันเบื้องต้นได้เลย!
#ทำที่บ้าน #digitaltransformation

Feeling overwhelmed?
Let us help you find the right tools.

Feeling overwhelmed?
Let us help you find the right tools.

Feeling overwhelmed?
Let us help you find the right tools.

1448/18 Soi Ladprao 87 (Chandrasuk),
Klongchan, Bangkapi, Bangkok, 10240
© 2025 by ASAP Project Co., Ltd.
All Rights Reserved.

1448/18 Soi Ladprao 87 (Chandrasuk), Klongchan, Bangkapi, Bangkok, 10240
© 2025 by ASAP Project Co., Ltd.
All Rights Reserved.

1448/18 Soi Ladprao 87 (Chandrasuk), Klongchan, Bangkapi, Bangkok, 10240
© 2025 by ASAP Project Co., Ltd.
All Rights Reserved.

