4 เหตุผลที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวทำ Digital Transformation ไม่สำเร็จ
Digital Transformation หรือ DX นำมาซึ่งโอกาสที่ดีในการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ เพราะสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า และช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันในตลาดให้ดียิ่งขึ้น แต่ธุรกิจครอบครัวมักเจอปัญหาคล้ายๆ กัน ที่ทำให้ DX ไม่ประสบความสำเร็จ
TYPE
ASAP Project X ทำที่บ้าน
📍 4 เหตุผลหลัก ที่มักจะทำให้การทำ Digital Transformation ในธุรกิจครอบครัวล้มเหลว
วัฒนธรรมการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
ธุรกิจครอบครัวมักให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สั่งสมกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นเก๋า และเราปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเชื่อในการทำธุรกิจแบบเก่าๆ นั้นส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความเชื่อของทีมผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ซึ่ง research จาก PwC ได้ระบุว่า 50% ของธุรกิจครอบครัว มองว่าวัฒนธรรมดังกล่าวนั้นเป็นอุปสรรคหลักเลยทีเดียว
ขาดความเชี่ยวชาญและทักษะด้านเทคโนโลยี
Digital Transformation ต้องอาศัยบุคลากรที่มีทักษะพิเศษด้านเทคโนโลยีและการจัดการข้อมูล แต่ผลสำรวจของ Deloitte พบว่า 43% ของธุรกิจครอบครัวดั้งเดิมมักจะยังขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านนี้ ซึ่งองค์กรที่ให้ความสำคัญและต้องการจะเปลี่ยนแปลงก็อาจจะอาศัยการพึ่งพาที่ปรึกษาภายนอกมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การทำ DX ที่มีทีมงานภายในซึ่งมีความรู้ความเข้าใจร่วมสนับสนุนด้วย ก็จะทำให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้รวดเร็ว และ Smooth กว่าเสมอ
ข้อจำกัดทางการเงิน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจครอบครัวมักมีงบประมาณจำกัดสำหรับการลงทุนในโครงการด้าน Digital มากพอสมควร จากข้อมูลของ Ernst & Young มีเพียง 28% ของธุรกิจครอบครัว ที่รู้สึกว่ามีทรัพยากรเพียงพอในการทำ DX ซึ่งการใช้เงินลงทุนที่ไม่สัมพันธ์กับความต้องการ หรือความคาดหวัง อาจทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นล้มเหลวได้ ดังนั้น การศึกษาและทำความเข้าใจในปริมาณการลงทุน และความสัมพันธ์กับความสามารถของ Software หรือ Technology ที่จะได้รับนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
ความขัดแย้งในครอบครัว
โครงสร้างการบริหารที่ชัดเจนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แน่นอนว่าทายาทรุ่นใหม่มีความอยากเปลี่ยนแปลงสูงอยู่แล้ว แต่คนรุ่นเก่าต้องการคงไว้ซึ่งความมั่นคง งานวิจัยจาก KPMG ระบุว่า 36% ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวที่ไม่เข้าใจกัน เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำ Digital Transformation ดังนั้น การขอความเห็นชอบ หรือการ get buy in จากผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดจึงเป็นสิ่งที่ทายาทควรให้ความสำคัญสูงสุดในการดำเนินการ
สุดท้ายนี้ หน้าที่ของทายาทที่ต้องการผลักดัน Digital Transformation ให้เกิดขึ้นได้ในองค์กรของเรานั้น คือ การที่เราควรจะระบุให้ชัดเจนได้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงต้องใช้ทรัพยากรมากแค่ไหน ประโยชน์ที่องค์กรหรือแต่ละฝ่ายจะได้รับคืออะไร ใครต้องทำอะไรบ้าง การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วรุนแรง หรือ ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อย
รายละเอียดทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ผู้บริการรุ่นเก่าเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนขึ้น และจากประสบการณ์ของ ASAP Project การที่พวกเขาสามารถเห็นภาพ และรับทราบระดับของความเสี่ยงได้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยเปลี่ยน แรงต่อต้าน ให้กลายมาเป็นแรงสนับสนุนที่ทรงพลังได้มากขึ้นเท่านั้น
อ้างอิง:
- PwC’s Family Business Survey 2020 - Why family businesses need to act now to protect their legacy tomorrow: https://www.pwc.com/.../pwc-family-business-survey-2020.html
- Leading with trust as a family enterprise—a global perspective: https://www2.deloitte.com/.../future-of-family-business...
- Sustaining a culture of continuous transformation in family business: https://assets.kpmg.com/.../sustaining-a-culture-of...
- How the world’s largest family businesses are proving their resilience: https://www.ey.com/.../how-the-worlds-largest-family...
หากคุณต้องการข้อมูลเกี่ยวกับระบบ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ Digital Transformation สามารถปรึกษา ASAP Project ได้ที่ hello@asapproject.co หรือ www.asapproject.co เพื่อคุยกันเบื้องต้นได้เลย!
#ทำที่บ้าน #digitaltransformation



